ทำไมการหาทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินจึงต้องใช้บ่อสังเกตการณ์อย่างน้อย 3 บ่อ?
- Thadchai Hongsrisuwan
- 29 พ.ค.
- ยาว 1 นาที
ในการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในงานตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินและการประเมินการปนเปื้อน ทิศทางการไหลของน้ำใต้ดิน (Groundwater Flow Direction) ถือเป็นข้อมูลสำคัญพื้นฐานที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทางเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการบำบัดฟื้นฟู (Remediation) หรือแม้กระทั่งการเลือกตำแหน่งในการเจาะบ่อใหม่เพิ่มเติม
เพื่อหาทิศทางการไหลของน้ำใต้ดิน เราจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลระดับน้ำใต้ดิน (Stabilized Groundwater Level) จาก บ่อสังเกตการณ์ที่มีการอ่านค่าระดับน้ำในช่วงเวลาเดียวกัน และมีค่าที่ “คงที่แล้ว” อย่างน้อย 3 บ่อขึ้นไป
เหตุผลที่ต้องใช้ 3 บ่อ (หรือมากกว่า)
การหาทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินมีพื้นฐานมาจากหลักการที่ว่า น้ำใต้ดินจะไหลจากบริเวณที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง ไปยังบริเวณที่ต่ำกว่า การทราบระดับน้ำใต้ดินใน 3 ตำแหน่งที่ต่างกัน จะทำให้เราสามารถสร้างระนาบจำลองของระดับน้ำใต้ดิน และคำนวณความลาดชัน (Hydraulic Gradient) รวมถึงทิศทางการไหลของน้ำได้ในเชิงพื้นที่
หากมีเพียง 2 บ่อ เราจะสามารถคำนวณ “ค่าความลาดระหว่างจุด A กับ B” ได้เท่านั้น แต่จะไม่สามารถระบุทิศทางการไหลจริงในเชิง 2 มิติได้ เพราะไม่มีข้อมูลในทิศทางอื่นมาช่วยกำหนดแนวการไหลที่แท้จริง
การวัดระดับน้ำต้อง "คงที่แล้ว"
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ การวัดระดับน้ำใต้ดินจะต้องทำหลังจากระดับน้ำในบ่ออยู่ในภาวะสมดุลแล้วเท่านั้น หากวัดทันทีหลังจากเจาะบ่อหรือสูบน้ำ ระดับน้ำอาจยังไม่เสถียร ส่งผลให้ค่าที่ได้คลาดเคลื่อน และนำไปสู่การคำนวณทิศทางการไหลที่ผิดพลาด
สนใจบริการตรวจสอบดินและน้ำใต้ดิน และศึกษาทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินในพื้นที่ของคุณ?
ติดต่อ Environmental Advisor Co., Ltd. เพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
📞 โทร: 064-2211-725
📧 Email: info@enva.co.th
Comments